วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2561

รังสีแกมมา (gamma ray)


รังสีแกมมา (gamma ray) คือ?

มีสัญลักษณ์เป็นตัวอักษรคือ  γ  เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นสั้นที่สุด โดยมีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 10-10 ถึง 10-14 เนื่องจากรังสีแกมมาเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงที่สุด  จึงเป็นรังสีที่มีพลังงานมากที่สุด  สามารถทะลุผ่านสิ่งกีดขวางได้ดีกว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดอื่นๆ และส่วนใหญ่เกิดจากสารกัมมันตรังสีบางชนิด  และเกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์  ดังนั้นรังสีนี้จึงสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายเราได้ ถ้าขาดการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ

การค้นพบ

โดย พอล อูริช วิลลาร์ด (Paul Ulrich Villard) นักฟิสิกส์ฝรั่งเศส วิลลาร์ด ค้นพบรังสีแกมมาจากการศึกษากัมมันตภาพรังสีที่ออกมาจากเรเดียม ซึ่งถูกค้นพบมาก่อนแล้วว่าบางส่วนจะเบนไปทางหนึ่ง เมื่อผ่านสนามแม่เหล็กบางส่วนจะเบนไปอีกทางหนึ่ง กัมมันตภาพรังสีทั้งสองประเภทนี้ คือ รังสีแอลฟา และรังสีบีตา


คุณสมบัติ

  • ไม่เบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก
  • ทำให้สารเรืองแสงเกิดการเรืองแสง
  • ทำปฏิกิริยากับฟิล์มถ่ายรูปและฟิล์มที่ไม่ไวต่อแสง

ประโยชน์

  • ใช้ในวงการแพทย์ เช่น 
  1. การใช้รังสีแกมมาจากการสลายตัวของโคบอลต์-60 (Co-60) เพื่อรักษาโรคมะเร็ง 
  2. การใช้รังสีแกมมาจากการสลายตัวของไอโอดีน-131 (I-131) เพื่อรักษาโรคคอพอก 
  3. การใช้รังสีแกมมามาทำความสะอาดเครื่องมือแพทย์
  • ใช้ในวงการเกษตรศึกษาโรคพืชต่างๆ การดูดซึมแร่ธาตุต่างๆของรากพืช

โทษ


  • ทำลายเนื้อเยื่อของร่างกายได้ 
  • เกิดเป็นผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง ผมร่วง เซลล์ตาย เป็นแผลเปื่อย (พบบ่อยที่สุด)
  • เกิดเนื้อเส้นใยจำนวนมากที่ปอด (fibrosis of the lung)  
  • เกิดโรคเม็ดโลหิตขาวมาก (leukemia)
  • เกิดต้อกระจก (cataracts) ขึ้นในนัยน์ตา 
  • ทำให้โครโมโซม (chromosome) เกิดการเปลี่ยนแปลง มีผลทำให้ลูกหลานเกิดเปลี่ยนลักษณะได้
  • ในเพศชายอาจทำให้ปริมาณอสุจิลดลงจนนำไปสู่การเป็นหมันในที่สุด 
การได้รับรังสีปริมาณสูงเป็นอันตรายแก่ชีวิต รังสีไม่สามารถทำให้ร่างกายเสียชีวิตทันที แต่อาจทำให้เกิดพองไหม้และบาดแผลได้ทันที และการได้รังสีเพียงอย่างเดียวไม่เป็นกรณีฉุกเฉินทางการแพทย์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นร่างกายจะเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของรังสีที่ ได้รับส่วนของร่างกายที่ได้ และอายุของผู้ได้รับรังสี ดังนั้นผู้ได้รับรังสีมีอายุน้อยแล้วอันตรายเนื่องจากรังสีจะมีมากกว่าผู้ ที่มีอายุมาก ในทารกแรกเกิดแล้วอาจได้รับอันตรายถึงพิการหรือเสียชีวิตได้ 

วีดีโอประกอบ

ที่มา
1.https://faijiraporn123.wordpress.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2/
2.https://www.dek-d.com/board/view/2450442/
3.https://www.youtube.com/watch?v=WCCBJ-iqEY8
4.https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2
จัดทำโดย
1.นางสาวกฤติกา เทพสุรเรือง  ม.6/3  เลขที่17
2.นางสาวญาณิศา จักรปล้อง  ม.6/3  เลขที่24
3.นางสาวพิมพ์ลภัส พุทธมนต์  ม.6/3  เลขที่38

11 ความคิดเห็น:

  1. ได้รับความรู้ดีมากค่ะ

    ตอบลบ
  2. มีประโยชน์มาก ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  3. Blogอ่านเข้าใจง่ายดีค่ะ

    ตอบลบ
  4. เป็นblogที่ดีมากกกค่ะ ให้ความรู้เยอะมาก

    ตอบลบ
  5. เข้าใจง่ายดีมากค่ะ

    ตอบลบ
  6. เข้าใจง่ายดีมากค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

    ตอบลบ
  7. เข้าใจง่ายมากๆเลยค่ะ

    ตอบลบ
  8. อ่านง่าย สีสันน่ารักมากค่ะ

    ตอบลบ
  9. ได้ความรู้เยอะมากขอบคุณนะคะ

    ตอบลบ